เรื่องรถหรู สมเด็จฯ ไม่เกี่ยว


เรื่องรถหรู สมเด็จฯ ไม่เกี่ยว
   นายสมศักดิ์ โตรักษา ทนายความวัดปากน้ำ ภาษีเจริญ ได้รับมอบอำนาจจาก สมเด็จวัดปากน้ำ กล่าวว่า สมเด็จฯ บริสุทธิ์ไม่มีความผิดอย่างแน่นอนเกี่ยวกับเรื่องรถโบราณ โดยวัดปากน้ำภาษีเจริญมีวัตถุประสงค์ เพื่อทำพิพิธภัณฑ์พื้นบ้านโบราณ รวมถึงรถคันดังกล่าว ซึ่งได้มาจากการรวบรวมเงินจากผู้มีจิตศรัทธาหลายคนเป็นจำนวนเงิน 4 ล้านบาท เพื่อมาซื้อรถนำมาเก็บไว้ในพิพิธภัณฑ์และบริจาคให้สมเด็จวัดปากน้ำเป็นการส่วนตัว และหลังรับบริจาค สมเด็จวัดปากน้ำไม่เคยใช้รถคันนี้เลย แต่มีเจตนาให้ประชาชนทั่วไปได้ศึกษา 



   จนปี 2556 ได้มีการแจ้งเปลี่ยนทะเบียน และแจ้งต่อกรมการขนส่งทางบก ว่ารถคันนี้ไม่ได้ใช้งาน และยืนยันสิ่งที่ชี้แจงไป เป็นข้อเท็จจริงและขณะนี้ สมเด็จวัดปากน้ำ ก็ได้มอบคืนรถให้กับผู้บริจาคเงินซื้อรถแล้ว โดยไม่ต้องการให้รถอยู่ในพิพิธภัณฑ์



    ด้านนายสุรพงษ์ สิทธิกร ทนายความผู้รับมอบจาก พระมหาศาสนมุนี หรือหลวงพี่แป๊ะ ผู้ช่วยเจ้าอาวาสวัดปากน้ำ ได้เดินทางมาชี้แจงด้วยตนเองว่า รถคันดังกล่าว มีผู้บริจาคเงินหลายคนเพื่อซื้อถวายสมเด็จวัดปากน้ำ โดยมีการติดต่อกับนายวิชาญ รัษฐปานะ เจ้าของอู่วิชาญ ที่รับประกอบรถยนต์และเป็นผู้เชี่ยวชาญด้านรถโบราณ ซึ่งมองว่า ในฐานะผู้ซื้อ วัดตกเป็นเหยื่อของการขายรถ ไม่รู้ว่ารถถูกต้องหรือไม่อย่างไร และก็ซื้อรถมาในราคา 4 ล้านบาท ซึ่งเป็นราคาตลาดในขณะนั้น เมื่อซื้อขายมีการโอนจากกรมการขนส่งทางบก ทำให้ผู้ซื้อเชื่อว่าเป็นรถที่ชอบด้วยกฎหมาย 
   ดังนั้นจึงควรดำเนินคดีกับผู้ขายรถ และขอให้ความเป็นธรรมกับผู้ซื้อคือหลวงพี่แป๊ะด้วยคะ 
ขอบคุณ ข้อมูลจาก Page ตื่นเถิดชาวพุทธ - Wake Up Buddhist

  จากเหตุการณ์ดังกล่าว สมเด็จวัดปากน้ำ ท่านไม่รู้เรื่องรายละเอียดเรื่องรถเลย  รู้แต่เพียงว่ามีญาติโยมมาถวายท่านก็รับไว้...น่าคิดไหมค่ะว่า ต้องมีผู้อยู่เบื้องหลังกระบวนการใส่ร้ายป้ายสี ท่านเจ้าประคุณสมเด็จฯ ให้ท่านเสียชื่อเสียง ให้ท่านต้องเปื้อนมลทิน เพื่อโค้นลมตำแหน่งสังฆราช
ขอให้คนที่อ่านข่าวโปรดใช้วิจารณญาณวิเคราะห์ให้ดีๆนะค่ะ
จะเชื่อสื่อที่พาดหัวข่าวทุกวันแบบ100%ไม่ได้ เพราะปัจจุบันสื่อที่ดีมีน้อย จรรยาบรรณคนทำสื่อหายไป และขอให้สื่อช่วยลงข่าวที่ถูกต้อง ไม่ควรบิดเบือนข้อมูล อย่าคิดหาผลประโยชน์จากข่าวจนเกินงาม
ด้วยความเคารพ
เรื่องรถหรู สมเด็จฯ ไม่เกี่ยว เรื่องรถหรู สมเด็จฯ ไม่เกี่ยว Reviewed by ข่าวพิเศษ on 05:47 Rating: 5

ไม่มีความคิดเห็น:

ขับเคลื่อนโดย Blogger.